ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ครั้งแรกของไทย! เอ็นไอเอเปิดรายงานระบบนิเวศสตาร์ทอัพเกษตร​พร้อมเดินหน้าการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกผนึกกำลังพันธมิตรร่วมพลิกโฉมระบบเกษตรไทย

 


(6 สิงหาคม 2564) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิด “สมุดปกขาวการขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพด้านการเกษตรของประเทศไทย (Thailand AgTech Startup Ecosystem Development White Paper)” โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเชิงลึก หรือ ดีพเทค มากขึ้น พร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันสตาร์ทอัพไทยด้านการเกษตรให้สามารถก้าวสู่ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงด้วยการเป็นผู้พลิกโฉมเกษตรกรยุคใหม่ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างตลาดใหม่ รวมถึงขยายผลการใช้งานไปทั่วประเทศและภูมิภาคอาเซียน


ดร. พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า “ภาคการเกษตรมีความสําคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยมาอย่างเนื่อง NIA จึงมีนโยบายในการเร่งสร้างและขับเคลื่อนระบบนิเวศสตาร์ทอัพด้านการเกษตร พร้อมกับการสร้างผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยวางบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญสำหรับสตาร์ทอัพด้านการเกษตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ NIA วางเป้าหมายในการพลิกโฉมภาคการเกษตรของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเทคโนโลยี จากเกษตรที่ใช้แรงงาน พึ่งพาฤดูกาล ไม่สามารถคาดการณ์ผลผลิตได้ เป็นการใช้เทคโนโลยีมาควบคุม ตรวจสอบคุณภาพ และปรับปรุงระบบเกษตรให้แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2) ด้านเศรษฐกิจ จากการพึ่งพาพ่อค้าคนกลางในการผลิตและการขาย เป็นการเกษตรที่เกิดรายได้ในตัวเอง 3) ด้านการตลาด จากแบบเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ให้เข้าสู่ตลาดที่กระจายแบบเท่าเทียมกัน โดยอาศัยเทคโนโลยีของ Blockchain 4) ด้านสิ่งแวดล้อม ที่เน้นการสร้างรูปแบบธุรกิจการเกษตรสมัยใหม่ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สอดคล้องตามหลักการของ BCG model และ 5) ด้านการวางตำแหน่งให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีด้านการเกษตร ทั้งนี้
NIA ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและการศึกษาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมของระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นด้านการเกษตรของประเทศไทย (Thailand AgTech Startup Ecosystem) พร้อมทั้งจัดทำเป็นสมุดปกขาว เพื่อนำเสนอการพัฒนาการระบบนิเวศและนโยบายที่สำคัญในการพัฒนาสตาร์ทอัพให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด


“จากผลการสำรวจพบข้อมูลที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ในหลายมิติ โดยใน พ.ศ. 2563 มีสตาร์ทอัพด้านการเกษตร จำนวน 53 ราย (กลุ่มเทคโนโลยีการบริหารจัดการฟาร์ม เซนเซอร์ และระบบ IoT มีจำนวนสูงสุด) อายุธุรกิจเฉลี่ย 4.7 ปี สามารถแบ่งเป็นระยะเริ่มต้น (Seed State) ร้อยละ 52.5 ระยะทดสอบไอเดีย (Pre-seed) ร้อยละ 27.5 และระยะเติบโตอย่างรวดเร็ว (Growth) ร้อยละ 20 ซึ่งจะกระจายตัวในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูล และสัมภาษณ์สตาร์ทอัพด้านการเกษตร ร่วมกับศึกษาข้อมูลจากการะดมทุนจำนวน 41 ราย พบว่า มีจำนวนเงินลงทุนสูงถึง 772 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 66.7 เป็นการลงทุนภายนอก ไม่ได้รับเงินลงทุนจากหน่วยงานร่วมลงทุนที่เป็น VC CVC หรือ Angel Investor สะท้อนให้เห็นว่าระบบนิเวศของประเทศไทยอยู่ในระยะเริ่มต้น ที่ต้องอาศัยการผลักดันและร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มจำนวนและศักยภาพของสตาร์ทอัพให้มีความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มการใช้เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร ที่มีปริมาณเงินลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับในต่างประเทศที่มีการลงทุนในกลุ่มนี้สูงมาก” ดร.พันธุ์อาจ ทิ้งท้าย



ขณะที่ ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการ ด้านระบบนวัตกรรม NIA กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันระบบนิเวศสตาร์ทอัพสตาร์ทอัพด้านการเกษตรยังอยู่ในระยะเริ่มต้นที่แสดงถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่เกษตรสมัยใหม่ โดยที่ผ่านมา NIA สร้างแพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมโยงประสานงานและขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านการเกษตร ผ่าน 3 เครื่องมือหลัก ได้แก่ 1) การระบุแนวโน้มนวัตกรรมการเกษตร เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสตาร์ทอัพให้สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการ รวมถึงการจุดประกายไอเดียการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเกษตรไทย และการเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่มูลค่า 2) การพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการนวัตกรรมการเกษตร ผ่านกิจกรรมการบ่มเพาะและเร่งสร้างสู่การเป็นสตาร์ทอัพด้านการเกษตร โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเชิงลึก เช่น Artificial Intelligent หรือ AI, Big data -IoT-Sensors, Robotics & Automation ร่วมกับการปรับผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจ และ 3) การสร้างและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพเกษตร เพื่อสนับสนุนการออกสู่ตลาดต่างประเทศ หรือได้รับการลงทุน ได้แก่ การสร้างย่านนวัตกรรรมเกษตร และพื้นที่ทำงานที่มีลักษณะแบบ co-farming space สร้างให้เกิดกิจกรรมเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระบบนิเวศให้ทำงานร่วมกัน




รองศาสตราจารย์ ดร. วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า“นับตั้งแต่โรงเรียนปลูกฝังความคิดเชิงวิเคราะห์ สร้างสรรค์ ความใฝ่รู้ด้านการพัฒนานวัตกรรมแก่เด็กและเยาวชน และส่งไม้ต่อมายังสถาบันอุดมศึกษา ก็คือมหาวิทยาลัย ที่จะผนวกการใช้งานวิจัยและพัฒนาด้วยพื้นฐานของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ดังนั้น ยุทธศาสตร์ในการสร้างบุคลากรด้านสตาร์ทอัพการเกษตรจึงมีความสำคัญเร่งด่วน เพื่อเตรียมความพร้อมและเร่งสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และนวัตกรรมเกษตร ให้เติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีความยั่งยืน โดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้มีการร่วมดำเนินงานกับ NIA ในการศึกษาประเมินรายงานสถานการณ์ปัจจุบันและแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน เพื่อจัดทำเป็น “สมุดปกขาวการขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพด้านการเกษตรของประเทศไทย” ตลอดจนร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่พัฒนาย่านนวัตกรรมเกษตร-อาหาร เพื่อสร้างให้เกิดเป็นพื้นที่รังสรรค์นวัตกรรรมร่วมกันด้านการเกษตร (Co-farming Space) ในการบ่มเพาะ เรียนรู้ แลกเปลี่ยน และลงมือปฏิบัติ ที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนสตาร์ทอัพด้านการเกษตร และนวัตกรรมชั้นนำของไทย เพื่อหนุนเสริมศักยภาพของคนไทย และสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศผ่านพ้นจากทุกวิกฤติ การสร้างระบบนิเวศที่เข้มแข็ง จะทำให้การพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน”


สมุดปกขาวการขับเคลื่อนพัฒนาระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นด้านการเกษตรของประเทศไทย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นวัตกรรมการผลิตถ่านดูดกลิ่น 3 In 1 จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ส่งเสริมรายได้สู่ชุมชน

  วช. เสริมแกร่ง มรภ.อุตรดิตถ์ ผลิตถ่านดูดกลิ่น 3 IN 1 จากวัสดุเหลือทิ้ง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นักวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ นำองค์ความรู้ และนวัตกรรมการผลิตถ่านดูดกลิ่น 3 In 1 จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ส่งเสริมรายได้พื้นที่เป้าหมาย สร้างเกษตรกรต้นแบบ จ.อุตรดิตถ์ และ จ.สุรินทร์ กว่า 100 ราย แนะใช้ถ่านดูดซับกลิ่น ความชื้น ยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้ อมให้ยั่งยืน โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนั กงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จากปัญหาเศษวัสดุเหลือทิ้ งทางการเกษตร อาทิ เปลือกทุเรียน เหง้ามันสำปะหลัง แกนข้าวโพด ข้อไม้ไผ่ รวมถึงเศษกิ่งไม้ริมทาง ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิ ดประโยชน์มากนัก  อีกทั้งการจัดการโดยเผาเศษวัสดุ เหลือทิ้งในที่โล่ง ยังเป็นการปล่อยก๊าซเรื อนกระจกและมลสารเข้าสู่ชั้ นบรรยากาศ องค์ความรู้และนวัตกรรมการผลิ ตถ่านดูดกลิ่น 3 In 1 ด้วยวิธีไพโรไลซิส จึงนับเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ ไขประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ ขณะนี้นักวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ ความรู้และติดตั้งนวัตกรรมแล้ว ประกอบด้วย เตาผลิตถ่านดูดกลิ่นแบบไพโรไลซิ ส เครื่...

เอ็นไอเอ โหมโรง “นิลมังกร” อัดฉีดผลงานนวัตกรรมเด่นพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด 19 โค้งสุดท้ายก่อนเฟ้นหาสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยภายใต้ “นิลมังกรแคมเปญ”

  สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจำนวน 18 หน่วยงาน ได้แก่ ศูนย์แบรนด์เคยู คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค 14 มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จัดประกาศผลและมอบรางวัล “ สุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยประจำปี 2564 รอบภูมิภาค ( Thailand INNO BIZ Champion 2021 Regional Round) ภายใต้ “ นิลมังกรแคมเปญ ” ให้กับ 20 ธุรกิจนวัตกรรมจาก 4 ภูมิภาค ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า “NIA มีหน้าที่ในการส่งเสริม สนับสนุน และสร้างความสามารถการแข่งขันของประเทศด้วยการใช้นวัตกรรม ดังนั้นจึงได้ริเริ่มโครงการสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยระดับภูมิภาค ภายใต้ “ นิลมังกรแคมเปญ ” ขึ้น เพื่อสร้างตัวอย่างการทำธุรกิจนวัตกรรมในภูมิภาคให้คนในพื้นที่ได้เห็นถึงความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและได้เรียนรู้กระบวนการสร้างธุรกิจนวัตกรรม ผ่านการสื่อสารในรูปแบบของ Edutainment เพื่อให้เป็นที่น่าสนใจ เข้าถึง และเข้าใจกระบวนการสร้างธุรกิ...

2-4 ธันวาคมนี้ พบกันที่ งานสัตว์น้ำไทย 2024 (Thai Aqua Expo 2024)

สมาคมกุ้งตะวันออกไทย ร่วมกับ พันธมิตรในภาคตะวันออก และภาครัฐ ร่วมจัดงานสัตว์น้ำเศรษฐกิจยิ่งใหญ่ประจำปี 2567 งานสัตว์น้ำไทย 2024 (Thai Aqua Expo 2024) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3-4 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรมซันไรส์ ลากูน โฮเทลแอนด์กอล์ฟ จ.ฉะเชิงเทรา ภายใต้แนวความคิด “ปรับกลยุทธ์สัตว์น้ำไทย สร้างกำไรทุกภาคส่วน” โดยสมาคมกุ้งตะวันออกไทย ร่วมกับ สมาคม สหกรณ์ ชมรม กลุ่มแปลงใหญ่ ในภาคตะวันออกก รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชนผู้ร่วมสนับสนุน ภายใต้มีวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ นวัตกรรม การส่งต่อข้อมูลเพื่อให้เกษตรกร สามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ ถ่ายทอดแนวทางการลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และกระตุ้นให้มีการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ภายในงานมีการเสวนา และสัมมนาให้ความรู้กับเกษตรกรและผู้ที่สนใจ ตลอดระยะเวลาการจัดงาน ทั้ง 3 วัน รวมถึงมีการจัดแสดงสินค้าของบริษัทและผู้ค้าปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยมีพื้นที่จัดแสดงสินค้ามากกว่า 70 บูท และมีบริษัทสนใจเข้าร่วม...