ดร.ศุภนิชา ศรีวรเดชไพศาล นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พูดถึงจุดเริ่มต้นของการพัฒนา “นวัตกรรมเส้นใยจากผักตบชวา” โดยทีมวิจัยได้มีการต่อยอดองค์ความรู้ลงไปสู่ชุมชน เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันมีชุมชนต่างๆ รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อไปประยุกต์ใช้แล้ว อาทิ ชุมชนผลิตเสื้อผ้า ชุมชนผลิตพวกเก้าอี้ (เคหะสิ่งทอ) ผลิตพรมจากผักตบชวา โดยการผลิตพรมจะมีทีมนักวิจัยจากคณะวิศวฯ คอยช่วยดูแล เรื่องของเทคนิคการผลิตที่ไม่เกิดปัญหาเชื้อรา ส่วนผ้าทอที่ใช้ผลิตเป็นเสื้อผ้าทั่วไปการผลิตจะทำในเชิงอุตสาหกรรมโดยมี บริษัทก้องเกียรติเท็กซ์ไทล์ เข้ามาช่วยในเรื่องของการผลิตผ้า ผลิตเส้นด้ายขึ้นมา จากนั้นการพัฒนาก็คือจะต่อยอดในเรื่องของการทำสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อให้ชาวบ้านนำรูปแบบไปใช้ นำผ้าไปใช้ แล้วเขาเกิดรายได้ขึ้นมา
นอกเหนือจากที่ต่อยอดให้กับชุมชนแล้ว
ยังได้นำความรู้เรื่องการผลิตเส้นด้าย
ลงไปสอนให้กับพัฒนาชุมชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตเส้นด้ายได้เอง
ผลิตตั้งแต่กระบวนการเส้นใย-เส้นด้าย จนเกิดการสร้างแบรนด์เป็นแบรนด์ผักตบของอยุธยาได้อีกด้วย
และมีการจำหน่ายสู่เชิงพาณิชย์แล้วโดย บริษัทก้องเกียรติเท็กซ์ไทล์จำกัด
นำเส้นด้ายจากการพัฒนาส่งออกไปจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ,SMEs และสมาคมของใช้ของขวัญ ของชำร่วยไทย
และของตกแต่งบ้าน โดยคุณวิลาสินี ชูรัตน์ นำผ้าไปใช้ในสมาคมฯ OTOP บ้านหัตถศิลป์ และนิกรเครื่องหนัง
นำผ้าไปใช้สร้างจุดเด่นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง สร้างโอกาสทางการตลาดเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ย้อนไปในปี
2563 นักวิจัยเล่าว่า ขณะนั้นงานวิจัยมีการพัฒนาเรื่อยๆ
จากเดิมที่มองว่าผ้าอาจจะมี ผิวสัมผัส ที่ยังไม่ได้ถูกใจผู้บริโภคมากนัก
ก็มีการพัฒนาใหม่ โดยการที่ผลิตให้เป็นผักตบชวาเส้นใยละเอียด จากที่เคยใช้เครื่องเป็นแบบเครื่องผลิตทั่วไปสามารถผลิตได้
ถ้าเส้นใยนั้นไม่ได้มีความสะอาดมาก แต่หากอยากจะผลิตให้ต้นทุนต่ำลง ก็ต้องใช้เครื่องที่มีกระบวนการในการเตรียมเรื่องเส้นใยให้มีความสะอาด
มีความพร้อมในการจะนำเข้าเครื่อง จึงมีการวิจัยร่วมกัน จนได้เป็นตัวอย่างผ้าออกมา ว่าถ้าเป็นเส้นใยละเอียดเราจะได้เป็นลักษณะผ้าเนื้อไหน
และมีตัวอย่างแล้ว โดยสัดส่วนที่ใช้ผสมก็จะมี ผักตบชวา 40% : ฝ้าย 60% หรือไม่ก็จะเป็น
ผักตบชวา 20% : ฝ้าย 80% เน้นใช้แค่ 2
ชนิดเส้นใยในการผสม พยายามทำให้ ECO มากที่สุด
เพราะอยากทำเส้นใยที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งความแตกต่างของผิวสัมผัสระหว่าง 40% ที่ได้คือ จะเป็นผิวสัมผัสแบบจับต้องได้ รู้สึกถึงความเป็นผักตบชวาอยู่ กับแบบ
20% ก็คือ ทำให้ผิวมันนุ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากอัตราส่วนที่ทีมวิจัยทำได้
40% ก็ถือเป็นอัตราส่วนที่เยอะที่สุดแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น