โหมโรงก่อนเลือกตั้ง เปิดวิสัยทัศน์ด้านเกษตร สื่อมวลชนเกษตรจัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ 5 พรรคการเมือง นโยบายด้านเกษตรพรรคไหนจะโดนใจเกษตรกร
สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ “นโยบายด้านการเกษตร” ของพรรคการเมือง ผ่านสื่อมวลชน นโยบายพรรคไหน?...จะโดนใจเกษตรกร เมื่อวันที่ 26 เมษายน ณ ห้องสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเชิญตัวแทนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ และมี 5 พรรคการเมืองตอบรับ ร่วมประชันวิสัยทัศน์ อาสาแก้ไขปัญหาภาคการเกษตร ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคก้าวไกล
นโยบายด้านการเกษตร ของพรรคประชาธิปัตย์
: นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า
พรรคยืนอยู่บนนโยบายเกษตรกรเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายหลักอันดับแรก
คือมุ่งให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจส่งออกอาหาร 1 ใน 10 ของโลก จากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 13
เป้าหมายหลักอันดับที่สอง คือเกษตรกรจะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น 100% และเป้าหมายหลักอันดับที่สาม คือการเพิ่มจีดีพีภาคเกษตรจาก 8.5% เป็น 10% โดยสร้างฐานรายได้ใหม่
และสร้างฐานแปรรูปอุตสาหกรรมการเกษตรใหม่
ส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร 18 กลุ่มจังหวัด
โดยตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจการเกษตรทั่วประเทศ เน้นทั้งเกษตรอาหาร เกษตรพลังงาน
เกษตรท่องเที่ยว และเกษตรสุขภาพ เพื่อเปลี่ยนเกษตรดั้งเดิมให้เป็นเกษตรสมัยใหม่
มีรายได้สูง ยกระดับจากเมืองเกษตรเป็นเมืองอาหาร
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องสร้างฐานตลาดใหม่
ยกระดับราคาสินค้าเกษตร เพิ่มในส่วนของตลาดออนไลน์
ตลาดประมูลทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ขยายตลาดใหม่ ๆ สร้างฐานสินค้าใหม่
สร้างแบรนด์สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ และสร้างฐานแปลงเกษตรใหม่
ยกระดับเกษตรแปลงใหญ่เป็น 10,000 แปลง จากปัจจุบัน 3,000 แปลง และเพิ่มเกษตรแม่นยำจาก 2 ล้านไร่ เป็น 5 ล้านไร่ ต่อยอดประกันรายได้ในพืชหลัก รวมทั้งนโยบายฟรีนมโรงเรียน 365 วัน เพื่อส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
สนับสนุนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นอย่างน้อย 2,800 กลุ่ม ๆ ละ
100,000 ต่อปี พร้อมเพิ่มธนาคารหมู่บ้านและธนาคารชุมชนแห่งละ
2 ล้านบาท และส่งเสริมสินเชื่อเงินออมชนบท
ขณะเดียวกันจะปลดล็อก พ.ร.ก.ประมง ภายใต้กติกาไอยูยูใน 90 วัน
พร้อมตั้งสภาการประมง และกองทุนประมง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประมงทุกระดับ
ออกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เกษตรกรในที่ดินของรัฐทุกประเภท กระจายการถือครองที่ดิน ปฏิรูปที่ดิน
ธนาคารที่ดิน โฉนดชุมชน มีค่าตอบแทนให้อาสาสมัครเกษตรเดือนละ 1,000 บาท พักหนี้ 4 ปี ปฏิรูป ธ.ก.ส. ปฏิรูประบบสินเชื่อ
เงินฝาก ดอกเบี้ย พัฒนากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนอื่น ๆ
ส่วนนโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคเพื่อไทย : นส.พ.ชัย
วัชรงค์ คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า
นโยบายพรรคจะเน้นการผ่าตัดปรับโครงสร้างภาคเกษตร โดยใช้หลัก “ตลาดนำ
นวัตกรรมเสริม” เปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิมเป็นเกษตรก้าวหน้าสมัยใหม่
โดยใช้ตลาดนำการผลิต เปลี่ยนจากการทำเกษตรที่มีรายได้น้อย มาทำเกษตรรายได้สูง
ผลิตสินค้าที่ตลาดต้องการ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง
ที่ทุกปีจะต้องอาศัยการนำเข้า รวมถึงโคเนื้อที่ตลาดมีความต้องการมากปีละ 4-5 ล้านตัว แต่ไทยไม่มีนโยบายเพิ่มผลผลิต ขณะเดียวกันก็เพิ่มระบบชลประทานให้ทั่วถึง
จากปัจจุบันมีพื้นที่ชลประทานครอบคลุมเพียง 22 ล้านไร่
จากพื้นที่การเกษตร 140 ล้านไร่
ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกษตรกรจับมือกับภาคเอกชนหรือนักเกษตรรุ่นใหม่
ทำเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ตั้งเป็นรูปแบบบริษัท ให้เกษตรกรเป็นผู้ถือหุ้น
จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า
แบ่งกำไรเป็น 3 ส่วน เกษตรกรได้ 50%
บริษัทได้ 40% ส่วนอีก 10%
เป็นของท้องถิ่น พร้อมทั้งสามารถแปลงสินทรัพย์มาเป็นทุน แปลงที่ ส.ป.ก.เป็นโฉนดได้
โดยตั้งเป้าออกโฉนด 50 ล้านไร่
นอกจากนี้เพื่อไทยยังมีนโยบายให้ลดการผลิตสินค้าที่มีมากเกินไป
เช่น ข้าว แต่ให้เป็นไปตามความสมัครใจ โดยจะทำให้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นได้ 3-5 พันบาท แล้วนำพื้นที่ไปปลูกพืชราคาสูง เช่น ทุเรียน ให้ได้ 1 ล่านไร่ ตั้งโครงการ 1 ตำบล 1
โรงปุ๋ย โดยมีเงินกู้ปลอดดอกเพื่อจัดซื้อเครื่องมือที่ทันสมัย รวมทั้งตั้งเกณฑ์ KPI
เพื่อประเมินการทำงานของข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พร้อมทั้งตั้งเป้าจีดีพีภาคเกษตรต้องขยายตัวปีละ 5-10 % หากไม่ได้ตามเป้า
ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อธิบดีแต่ละกรมต้องร่วมรับผิดชอบ
นอกจากนี้ยังเตรียมตั้งกองทุนรองรับปัญหาโลกร้อน
โดยการตั้งงบประมาณแก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่ ชนิดละ 1,000
ล้านบาท ทั้งหมดนี้ เพื่อเพิ่มรายได้ ให้เกษตรกร 3 เท่าใน 4 ปี
สำหรับนโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคไทยสร้างไทย
: นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ กรรมการบริหารพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า
พรรคไทยสร้างไทยจะปรับโครงสร้างให้เกิดการสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
โดยเน้นที่พืชเศรษฐกิจหลัก เริ่มจากข้าว
ซึ่งเป็นพืชที่สร้างผลกระทบกับเกษตรกรมากที่สุด
เพราะมีอุปทานเหลือจากการส่งออกมากถึงปีละ 3-4 ล้านตัน
ซึ่งหากลดผลผลิตข้าวลงได้ ราคาข้าวจะเป็นไปตามกลไกตลาด
ขณะเดียวกันก็ต้องขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ
พร้อมกับขยายทั้งปริมาณและชนิดสินค้าให้เพิ่มขึ้น มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า
เน้นพืชสมุนไพรและพืชพลังงาน พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตร
นอกจากนี้ไทยสร้างไทยยังมีนโยบายทำบ่อเพื่อเก็บน้ำสำหรับทุกครัวเรือน
รวมทั้งขุดบ่อบาดาล ประปาหมู่บ้าน ติดโซลาร์เซลล์เพื่อสูบน้ำ
พร้อมกับดำเนินโครงการโขง (เลย)-ชี-มูล โดยใช้งบประมาณ 2
แสนล้านบาท เพื่อเติมน้ำให้กับภาคอีสาน ขณะเดียวกันจะจัดทำกองทุนเพื่อคนตัวเล็ก
เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน สำหรับการทำโซลาร์เซลล์
และใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร ภายใต้เงื่อนไขเกษตรกรต้องเรียนรู้ก่อน
ขณะเดียวกันก็มีนโยบายให้สามารถจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินในเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรรม
หรือ ส.ป.ก. ได้ ส่วนที่ดินภาษีบำรุงท้องที่ หรือ ภ.บ.ท. 5
จะพิจารณาการใช้ประโยชน์ตามพื้นที่ โดยจัดเป็นโซนจัดสรร โซนแปลงใหญ่ โซนปลูกป่า
และโซนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศตามความเหมาะสม
ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ควบคู่ไปกับการส่งเสริมใช้เทคโนโลยี
และเพิ่มขยายตลาดต่างประเทศ โดยมีผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ทำหน้าที่เสมือนเป็นเซลล์แมนหาตลาด ทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่
นโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคพลังประชารัฐ : ดร.บุรินทร์
สุขพิศาล กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่าพรรคพลังประชารัฐมีแนวคิดแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรโดยการเปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตรใหม่ให้เชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมมากเพิ่มขึ้น
โดยการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเพิ่มมูลค่าสินค้า
โดยเฉพาะด้านพลังงานที่ได้จากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง
เป็นต้น เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตร ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มรองรับตลาดสีเขียว
ควบคู่ไปกับการลดหนี้ให้แก่เกษตรกร ด้วยการเติมเงินลงทุนให้เกษตรกรครัวเรือนละ 30,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต
ลดต้นทุน และผลิตสินค้าคุณภาพ ขณะเดียวกันจะมีการตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยยูเรียตามแนวท่อแก๊ส
ก่อนกระจายทั่วประเทศ พร้อมกับสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยสั่งตัด
กำหนดมาตรการปุ๋ยคนละครึ่ง เพื่อให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยใช้เองในประเทศ
เป็นการลดปัญหาต้นทุนปัจจัยการผลิตที่มีราคาสูง
นโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคก้าวไกล : นายเดชรัต
สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคตพรรคก้าวไกล กล่าวว่า
พรรคก้าวไกลมีนโยบายให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนและที่ดิน โดยจะแก้ปัญหาทั้งที่ดิน
ส.ป.ก. และที่ดินทับซ้อน ด้วยกองทุนพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 4 ปี
ซึ่งกองทุนนี้จะผลักดันให้การทำงานพิสูจน์สิทธิ์ และจัดสรรที่ดินประเภทต่าง ๆ
สามารถทำได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรก็ต้องมีอาชีพเสริมระหว่างการทำเกษตร
ส่งเสริมการแปรรูปเพิ่มมูลค่า ในด้านการต่างประเทศจะต้องทำในชิงรุก
สร้างความเป็นธรรม และเอาจริงเอาจังกับปัญหาในทุกจุด
ขณะที่องค์กรท้องถิ่นเมื่อถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ ก็ต้องมีบทบาทมากขึ้น
โดยองค์กรที่เล็กที่สุดจะได้รับงบเพิ่มอีกแห่งละ 20 ล้านบาท
ขณะเดียวกันก็มีนโยบายปลดหนี้ให้เกษตรกร โดยเกษตรกรที่เป็นหนี้
จะมีการเข้าไปช่วยเหลือโดยอาจจะเช่าที่ดินนั้น ๆ ที่ติดจำนองอยู่
เพื่อให้เกษตรกรปลูกไม้ยืนต้น และไม้เศรษฐกิจ หรือไม้ผลที่มูลค่าทางเศรษฐกิจ
ภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลจะเคลียร์หนี้ให้ และคืนที่ดินพร้อมผลผลิตให้หลังจากครบ 20 ปี หรือระยะเวลาที่กำหนด
ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
รวมถึงเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้มากขึ้นและทั่วถึงทุกจุด สร้างพื้นที่ระบายน้ำ
ปรับกติกาสำหรับพื้นที่รับน้ำ กำหนดระยะเวลา การจ่ายเงินชดเชย
และทำให้ระยะเวลาที่น้ำท่วมน้อยลง นอกจากนี้จะดูแลเกษตรกรในเรื่องปุ๋ยสั่งตัด
พร้อมทั้งสนับสนุนเรื่องเครื่องจักรทางการเกษตร อัตราดอกเบี้ย 0% ด้วย
นอกจากนโยบายด้านเกษตรของแต่ละพรรคที่นำเสนอบนเวทีแล้ว
ยังมีคำถามสำคัญจากเกษตรกรในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการแบนสารเคมีเกษตร
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต และแม้จะมีสารทดแทนแต่ก็มีราคาสูงมาก
โดยผู้แทนพรรคก้าวไกลได้นำเสนอแนวคิดว่าหากยังไม่เลิกการแบนสารเคมีเกษตร
ก็จะต้องทำให้ต้นทุนของสารเคมีที่มาทดแทนเป็นต้นทุนเดียวกันกับสารตัวเดิม
ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุนในส่วนต่างจนกว่าจะทำให้สารทดแทนมีต้นทุนที่ถูกลงได้
และควรส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลเกษตร ด้านผู้แทนพรรคไทยสร้างไทย
นำเสนอแนวคิดที่จะหาสารทดแทนที่มีราคาไม่แพง แต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงหรือดีกว่า
อย่างไรก็ตามยังคงให้ความสำคัญกับงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้พาราควอต
โดยเฉพาะในดินทราย เพื่อใช้อ้างอิงในการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการใช้สารเคมีต่อไป
อย่างไรก็ตามหากจำเป็นต้องมีการใช้สารทดแทนที่มีราคาสูง รัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องสนับสนุนส่วนต่างให้แก่เกษตรกร
ซึ่งพรรคมีนโยยบายสนับสนุนการทำแปลงใหญ่เพื่อใช้เครื่องจักรกลการเกษตรควบคู่กับการเขตกรรม
ในการช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร ด้านผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์
ยืนยันยังสนับสนุนนโยบายเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ซึ่งในระยะยาวจะเป็นกระแสหลักของโลกและประเทศไทย
แต่การแบนสารเคมีเกษตร และการที่สารทดแทนมีราคาสูงนั้น
รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นผู้ดำเนินนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของเกษตรกร
อย่างไรก็ตามพรรคยังคงมีนโยบายส่งเสริมให้มีระบบเกษตรแปลงใหญ่
เพื่อให้เกษตรกรมีการใช้เครื่องจักรกลเกษตร และมีระบบบริหารจัดการผลิต
โดยจะอุดหนุนเกษตรกรแปลงใหญ่ 3 ล้านบาทต่อกลุ่ม ด้าน
ผู้แทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าเรื่องการแบนสารเคมีเกษตรนั้นเป็นฉันทามติของรัฐสภา
และคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นการมองถึงด้านสุขภาพมากกว่าต้นทุนผลิต
และพรรคเพื่อไทยน้อมรับมตินั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อการสารเคมีเกษตรส่งผลกระทบกับเกษตรกรจำนวนมาก
พรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายเห็นพ้องว่ารัฐบาลจะต้องมีการสนับสนุนส่วนต่างในสารเคมีทดแทน
อาจจะระดับ 70:30 หรือ 80:20 เพื่อให้เกษตรกรมีผลกระทบน้อยที่สุด
และหากจะเดินหน้าในแนวทางนี้เพื่อไทยก็มีนโยบายจะสนับสนุนทุนวิจัยในการหาสารทดแทนอย่างเต็มที่
ด้านผู้แทนพรรคพลังประชารัฐ
นำเสนอแนวทางการนำพืชเกษตรมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นสารกำจัดศัตรูพืช
โดยยกตัวอย่างมันสำปะหลัง ที่นำมาผลิตเป็นเอทานอลและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำเสนอในมติคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วในพืชปาล์มน้ำมัน
ที่จะมีการนำไปผลิตเป็นสินค้าปลายทาง 8 ชนิด
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ สารกำจัดวัชพืช และสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น