ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

5 พรรคการเมืองร่วมเวทีดีเบตนโยบาย “ด้านเกษตร” พรรคไหนจะโดนใจเกษตรกร


 โหมโรงก่อนเลือกตั้ง เปิดวิสัยทัศน์ด้านเกษตร สื่อมวลชนเกษตรจัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ 5 พรรคการเมือง นโยบายด้านเกษตรพรรคไหนจะโดนใจเกษตรกร

สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดเวทีประชันวิสัยทัศน์ “นโยบายด้านการเกษตร” ของพรรคการเมือง ผ่านสื่อมวลชน นโยบายพรรคไหน?...จะโดนใจเกษตรกร เมื่อวันที่ 26 เมษายน ณ ห้องสุธรรม อารีกุล อาคารสารนิเทศ 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยเชิญตัวแทนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ และมี 5 พรรคการเมืองตอบรับ ร่วมประชันวิสัยทัศน์ อาสาแก้ไขปัญหาภาคการเกษตร ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคไทยสร้างไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคก้าวไกล


นโยบายด้านการเกษตร ของพรรคประชาธิปัตย์ : นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคยืนอยู่บนนโยบายเกษตรกรเข้มแข็ง โดยมีเป้าหมายหลักอันดับแรก คือมุ่งให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจส่งออกอาหาร 1 ใน 10 ของโลก จากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 13 เป้าหมายหลักอันดับที่สอง คือเกษตรกรจะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น 100% และเป้าหมายหลักอันดับที่สาม คือการเพิ่มจีดีพีภาคเกษตรจาก 8.5% เป็น 10% โดยสร้างฐานรายได้ใหม่ และสร้างฐานแปรรูปอุตสาหกรรมการเกษตรใหม่ ส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร 18 กลุ่มจังหวัด โดยตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจการเกษตรทั่วประเทศ เน้นทั้งเกษตรอาหาร เกษตรพลังงาน เกษตรท่องเที่ยว และเกษตรสุขภาพ เพื่อเปลี่ยนเกษตรดั้งเดิมให้เป็นเกษตรสมัยใหม่ มีรายได้สูง ยกระดับจากเมืองเกษตรเป็นเมืองอาหาร

นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องสร้างฐานตลาดใหม่ ยกระดับราคาสินค้าเกษตร เพิ่มในส่วนของตลาดออนไลน์ ตลาดประมูลทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ขยายตลาดใหม่ ๆ สร้างฐานสินค้าใหม่ สร้างแบรนด์สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ และสร้างฐานแปลงเกษตรใหม่ ยกระดับเกษตรแปลงใหญ่เป็น 10,000 แปลง จากปัจจุบัน 3,000 แปลง และเพิ่มเกษตรแม่นยำจาก 2 ล้านไร่ เป็น 5 ล้านไร่ ต่อยอดประกันรายได้ในพืชหลัก รวมทั้งนโยบายฟรีนมโรงเรียน 365 วัน เพื่อส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม สนับสนุนองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นอย่างน้อย 2,800 กลุ่ม ๆ ละ 100,000 ต่อปี พร้อมเพิ่มธนาคารหมู่บ้านและธนาคารชุมชนแห่งละ 2 ล้านบาท และส่งเสริมสินเชื่อเงินออมชนบท ขณะเดียวกันจะปลดล็อก พ.ร.ก.ประมง ภายใต้กติกาไอยูยูใน 90 วัน พร้อมตั้งสภาการประมง และกองทุนประมง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมประมงทุกระดับ ออกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เกษตรกรในที่ดินของรัฐทุกประเภท กระจายการถือครองที่ดิน ปฏิรูปที่ดิน ธนาคารที่ดิน โฉนดชุมชน มีค่าตอบแทนให้อาสาสมัครเกษตรเดือนละ 1,000 บาท พักหนี้ 4 ปี ปฏิรูป ธ.ก.ส. ปฏิรูประบบสินเชื่อ เงินฝาก ดอกเบี้ย พัฒนากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนอื่น ๆ

ส่วนนโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคเพื่อไทย : นส.พ.ชัย วัชรงค์ คณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า นโยบายพรรคจะเน้นการผ่าตัดปรับโครงสร้างภาคเกษตร โดยใช้หลัก “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม” เปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิมเป็นเกษตรก้าวหน้าสมัยใหม่ โดยใช้ตลาดนำการผลิต เปลี่ยนจากการทำเกษตรที่มีรายได้น้อย มาทำเกษตรรายได้สูง ผลิตสินค้าที่ตลาดต้องการ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง ที่ทุกปีจะต้องอาศัยการนำเข้า รวมถึงโคเนื้อที่ตลาดมีความต้องการมากปีละ 4-5 ล้านตัว แต่ไทยไม่มีนโยบายเพิ่มผลผลิต ขณะเดียวกันก็เพิ่มระบบชลประทานให้ทั่วถึง จากปัจจุบันมีพื้นที่ชลประทานครอบคลุมเพียง 22 ล้านไร่ จากพื้นที่การเกษตร 140 ล้านไร่

ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกษตรกรจับมือกับภาคเอกชนหรือนักเกษตรรุ่นใหม่ ทำเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ตั้งเป็นรูปแบบบริษัท ให้เกษตรกรเป็นผู้ถือหุ้น จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า แบ่งกำไรเป็น 3 ส่วน เกษตรกรได้ 50% บริษัทได้ 40% ส่วนอีก 10% เป็นของท้องถิ่น พร้อมทั้งสามารถแปลงสินทรัพย์มาเป็นทุน แปลงที่ ส.ป.ก.เป็นโฉนดได้ โดยตั้งเป้าออกโฉนด 50 ล้านไร่

นอกจากนี้เพื่อไทยยังมีนโยบายให้ลดการผลิตสินค้าที่มีมากเกินไป เช่น ข้าว แต่ให้เป็นไปตามความสมัครใจ โดยจะทำให้ราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นได้ 3-5 พันบาท แล้วนำพื้นที่ไปปลูกพืชราคาสูง เช่น ทุเรียน ให้ได้ 1 ล่านไร่ ตั้งโครงการ 1 ตำบล 1 โรงปุ๋ย โดยมีเงินกู้ปลอดดอกเพื่อจัดซื้อเครื่องมือที่ทันสมัย รวมทั้งตั้งเกณฑ์ KPI เพื่อประเมินการทำงานของข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งตั้งเป้าจีดีพีภาคเกษตรต้องขยายตัวปีละ 5-10 % หากไม่ได้ตามเป้า ปลัดกระทรวงเกษตรฯ อธิบดีแต่ละกรมต้องร่วมรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังเตรียมตั้งกองทุนรองรับปัญหาโลกร้อน โดยการตั้งงบประมาณแก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่ ชนิดละ 1,000 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ เพื่อเพิ่มรายได้ ให้เกษตรกร 3 เท่าใน 4 ปี


สำหรับนโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคไทยสร้างไทย : นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ กรรมการบริหารพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยจะปรับโครงสร้างให้เกิดการสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน โดยเน้นที่พืชเศรษฐกิจหลัก เริ่มจากข้าว ซึ่งเป็นพืชที่สร้างผลกระทบกับเกษตรกรมากที่สุด เพราะมีอุปทานเหลือจากการส่งออกมากถึงปีละ 3-4 ล้านตัน ซึ่งหากลดผลผลิตข้าวลงได้ ราคาข้าวจะเป็นไปตามกลไกตลาด ขณะเดียวกันก็ต้องขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับขยายทั้งปริมาณและชนิดสินค้าให้เพิ่มขึ้น มีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เน้นพืชสมุนไพรและพืชพลังงาน พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตร

นอกจากนี้ไทยสร้างไทยยังมีนโยบายทำบ่อเพื่อเก็บน้ำสำหรับทุกครัวเรือน รวมทั้งขุดบ่อบาดาล ประปาหมู่บ้าน ติดโซลาร์เซลล์เพื่อสูบน้ำ พร้อมกับดำเนินโครงการโขง (เลย)-ชี-มูล โดยใช้งบประมาณ  2 แสนล้านบาท เพื่อเติมน้ำให้กับภาคอีสาน ขณะเดียวกันจะจัดทำกองทุนเพื่อคนตัวเล็ก เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน สำหรับการทำโซลาร์เซลล์ และใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร ภายใต้เงื่อนไขเกษตรกรต้องเรียนรู้ก่อน ขณะเดียวกันก็มีนโยบายให้สามารถจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินในเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรรม หรือ ส.ป.ก. ได้ ส่วนที่ดินภาษีบำรุงท้องที่ หรือ ภ.บ.ท. 5 จะพิจารณาการใช้ประโยชน์ตามพื้นที่ โดยจัดเป็นโซนจัดสรร โซนแปลงใหญ่ โซนปลูกป่า และโซนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศตามความเหมาะสม ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ควบคู่ไปกับการส่งเสริมใช้เทคโนโลยี และเพิ่มขยายตลาดต่างประเทศ โดยมีผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่เสมือนเป็นเซลล์แมนหาตลาด ทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่

นโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคพลังประชารัฐ : ดร.บุรินทร์ สุขพิศาล กรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่าพรรคพลังประชารัฐมีแนวคิดแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรโดยการเปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตรใหม่ให้เชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมมากเพิ่มขึ้น โดยการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ และเพิ่มมูลค่าสินค้า โดยเฉพาะด้านพลังงานที่ได้จากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง เป็นต้น เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตร ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มรองรับตลาดสีเขียว ควบคู่ไปกับการลดหนี้ให้แก่เกษตรกร ด้วยการเติมเงินลงทุนให้เกษตรกรครัวเรือนละ 30,000 บาท เพื่อสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต ลดต้นทุน และผลิตสินค้าคุณภาพ ขณะเดียวกันจะมีการตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยยูเรียตามแนวท่อแก๊ส ก่อนกระจายทั่วประเทศ พร้อมกับสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยสั่งตัด กำหนดมาตรการปุ๋ยคนละครึ่ง เพื่อให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยใช้เองในประเทศ เป็นการลดปัญหาต้นทุนปัจจัยการผลิตที่มีราคาสูง

นโยบายด้านการเกษตรกรของพรรคก้าวไกล : นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคตพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมีนโยบายให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนและที่ดิน โดยจะแก้ปัญหาทั้งที่ดิน ส.ป.ก. และที่ดินทับซ้อน ด้วยกองทุนพิสูจน์สิทธิ์ที่ดินวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 4 ปี ซึ่งกองทุนนี้จะผลักดันให้การทำงานพิสูจน์สิทธิ์ และจัดสรรที่ดินประเภทต่าง ๆ สามารถทำได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันเกษตรกรก็ต้องมีอาชีพเสริมระหว่างการทำเกษตร ส่งเสริมการแปรรูปเพิ่มมูลค่า ในด้านการต่างประเทศจะต้องทำในชิงรุก สร้างความเป็นธรรม และเอาจริงเอาจังกับปัญหาในทุกจุด ขณะที่องค์กรท้องถิ่นเมื่อถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ ก็ต้องมีบทบาทมากขึ้น โดยองค์กรที่เล็กที่สุดจะได้รับงบเพิ่มอีกแห่งละ 20 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็มีนโยบายปลดหนี้ให้เกษตรกร โดยเกษตรกรที่เป็นหนี้ จะมีการเข้าไปช่วยเหลือโดยอาจจะเช่าที่ดินนั้น ๆ ที่ติดจำนองอยู่ เพื่อให้เกษตรกรปลูกไม้ยืนต้น และไม้เศรษฐกิจ หรือไม้ผลที่มูลค่าทางเศรษฐกิจ ภายใต้เงื่อนไขรัฐบาลจะเคลียร์หนี้ให้ และคืนที่ดินพร้อมผลผลิตให้หลังจากครบ 20 ปี หรือระยะเวลาที่กำหนด ขณะเดียวกันก็มีการลงทุนโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า รวมถึงเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้มากขึ้นและทั่วถึงทุกจุด สร้างพื้นที่ระบายน้ำ ปรับกติกาสำหรับพื้นที่รับน้ำ กำหนดระยะเวลา การจ่ายเงินชดเชย และทำให้ระยะเวลาที่น้ำท่วมน้อยลง นอกจากนี้จะดูแลเกษตรกรในเรื่องปุ๋ยสั่งตัด พร้อมทั้งสนับสนุนเรื่องเครื่องจักรทางการเกษตร อัตราดอกเบี้ย 0% ด้วย

นอกจากนโยบายด้านเกษตรของแต่ละพรรคที่นำเสนอบนเวทีแล้ว ยังมีคำถามสำคัญจากเกษตรกรในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการแบนสารเคมีเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต และแม้จะมีสารทดแทนแต่ก็มีราคาสูงมาก โดยผู้แทนพรรคก้าวไกลได้นำเสนอแนวคิดว่าหากยังไม่เลิกการแบนสารเคมีเกษตร ก็จะต้องทำให้ต้นทุนของสารเคมีที่มาทดแทนเป็นต้นทุนเดียวกันกับสารตัวเดิม ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุนในส่วนต่างจนกว่าจะทำให้สารทดแทนมีต้นทุนที่ถูกลงได้ และควรส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลเกษตร ด้านผู้แทนพรรคไทยสร้างไทย นำเสนอแนวคิดที่จะหาสารทดแทนที่มีราคาไม่แพง แต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงหรือดีกว่า อย่างไรก็ตามยังคงให้ความสำคัญกับงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้พาราควอต โดยเฉพาะในดินทราย เพื่อใช้อ้างอิงในการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับการใช้สารเคมีต่อไป อย่างไรก็ตามหากจำเป็นต้องมีการใช้สารทดแทนที่มีราคาสูง รัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องสนับสนุนส่วนต่างให้แก่เกษตรกร ซึ่งพรรคมีนโยยบายสนับสนุนการทำแปลงใหญ่เพื่อใช้เครื่องจักรกลการเกษตรควบคู่กับการเขตกรรม ในการช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกร ด้านผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันยังสนับสนุนนโยบายเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ซึ่งในระยะยาวจะเป็นกระแสหลักของโลกและประเทศไทย แต่การแบนสารเคมีเกษตร และการที่สารทดแทนมีราคาสูงนั้น รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบเพราะเป็นผู้ดำเนินนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของเกษตรกร อย่างไรก็ตามพรรคยังคงมีนโยบายส่งเสริมให้มีระบบเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อให้เกษตรกรมีการใช้เครื่องจักรกลเกษตร และมีระบบบริหารจัดการผลิต โดยจะอุดหนุนเกษตรกรแปลงใหญ่ 3 ล้านบาทต่อกลุ่ม ด้าน ผู้แทนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าเรื่องการแบนสารเคมีเกษตรนั้นเป็นฉันทามติของรัฐสภา และคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นการมองถึงด้านสุขภาพมากกว่าต้นทุนผลิต และพรรคเพื่อไทยน้อมรับมตินั้น อย่างไรก็ตามเมื่อการสารเคมีเกษตรส่งผลกระทบกับเกษตรกรจำนวนมาก พรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายเห็นพ้องว่ารัฐบาลจะต้องมีการสนับสนุนส่วนต่างในสารเคมีทดแทน อาจจะระดับ 70:30 หรือ 80:20 เพื่อให้เกษตรกรมีผลกระทบน้อยที่สุด และหากจะเดินหน้าในแนวทางนี้เพื่อไทยก็มีนโยบายจะสนับสนุนทุนวิจัยในการหาสารทดแทนอย่างเต็มที่ ด้านผู้แทนพรรคพลังประชารัฐ นำเสนอแนวทางการนำพืชเกษตรมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นสารกำจัดศัตรูพืช โดยยกตัวอย่างมันสำปะหลัง ที่นำมาผลิตเป็นเอทานอลและมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการนำเสนอในมติคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้วในพืชปาล์มน้ำมัน ที่จะมีการนำไปผลิตเป็นสินค้าปลายทาง 8 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ สารกำจัดวัชพืช และสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช









 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2-4 ธันวาคมนี้ พบกันที่ งานสัตว์น้ำไทย 2024 (Thai Aqua Expo 2024)

สมาคมกุ้งตะวันออกไทย ร่วมกับ พันธมิตรในภาคตะวันออก และภาครัฐ ร่วมจัดงานสัตว์น้ำเศรษฐกิจยิ่งใหญ่ประจำปี 2567 งานสัตว์น้ำไทย 2024 (Thai Aqua Expo 2024) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-3-4 ธันวาคม 2567 ณ โรงแรมซันไรส์ ลากูน โฮเทลแอนด์กอล์ฟ จ.ฉะเชิงเทรา ภายใต้แนวความคิด “ปรับกลยุทธ์สัตว์น้ำไทย สร้างกำไรทุกภาคส่วน” โดยสมาคมกุ้งตะวันออกไทย ร่วมกับ สมาคม สหกรณ์ ชมรม กลุ่มแปลงใหญ่ ในภาคตะวันออกก รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชนผู้ร่วมสนับสนุน ภายใต้มีวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ นวัตกรรม การส่งต่อข้อมูลเพื่อให้เกษตรกร สามารถวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ ถ่ายทอดแนวทางการลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่ในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และกระตุ้นให้มีการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ภายในงานมีการเสวนา และสัมมนาให้ความรู้กับเกษตรกรและผู้ที่สนใจ ตลอดระยะเวลาการจัดงาน ทั้ง 3 วัน รวมถึงมีการจัดแสดงสินค้าของบริษัทและผู้ค้าปัจจัยการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยมีพื้นที่จัดแสดงสินค้ามากกว่า 70 บูท และมีบริษัทสนใจเข้าร่วม...

นวัตกรรมการผลิตถ่านดูดกลิ่น 3 In 1 จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ส่งเสริมรายได้สู่ชุมชน

  วช. เสริมแกร่ง มรภ.อุตรดิตถ์ ผลิตถ่านดูดกลิ่น 3 IN 1 จากวัสดุเหลือทิ้ง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นักวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ นำองค์ความรู้ และนวัตกรรมการผลิตถ่านดูดกลิ่น 3 In 1 จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ส่งเสริมรายได้พื้นที่เป้าหมาย สร้างเกษตรกรต้นแบบ จ.อุตรดิตถ์ และ จ.สุรินทร์ กว่า 100 ราย แนะใช้ถ่านดูดซับกลิ่น ความชื้น ยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้ อมให้ยั่งยืน โดยการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนั กงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จากปัญหาเศษวัสดุเหลือทิ้ งทางการเกษตร อาทิ เปลือกทุเรียน เหง้ามันสำปะหลัง แกนข้าวโพด ข้อไม้ไผ่ รวมถึงเศษกิ่งไม้ริมทาง ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ให้เกิ ดประโยชน์มากนัก  อีกทั้งการจัดการโดยเผาเศษวัสดุ เหลือทิ้งในที่โล่ง ยังเป็นการปล่อยก๊าซเรื อนกระจกและมลสารเข้าสู่ชั้ นบรรยากาศ องค์ความรู้และนวัตกรรมการผลิ ตถ่านดูดกลิ่น 3 In 1 ด้วยวิธีไพโรไลซิส จึงนับเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ ไขประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ ขณะนี้นักวิจัยได้ถ่ายทอดองค์ ความรู้และติดตั้งนวัตกรรมแล้ว ประกอบด้วย เตาผลิตถ่านดูดกลิ่นแบบไพโรไลซิ ส เครื่...

FTA ผนึกความร่วมมือภาคี “การลดมลพิษทางอากาศด้วยการหลีกเลี่ยงการเผาในภาคเกษตรกรรม”

  Friends of Thai Agriculture: FTA ผนึกความร่วมมือภาคี จัดประชุมนานาชาติ “แนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาการเผาพืชผลทางการเกษตรในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” กรุงเทพฯ , 1 ตุลาคมที่ผ่านมา - ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมกว่า 250 คน รวมถึงสื่อมวลชนไทย 16 แห่ง นักการทูต ผู้กำหนดนโยบาย และผู้นำภาคเอกชน ได้เข้าร่วมงานสัมมนาเรื่อง "การลดมลพิษทางอากาศด้วยการหลีกเลี่ยงการเผาในภาคเกษตรกรรม" Reduction of Air Pollution through Avoidance of Burning in Agriculture’ เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของประเทศไทย นั่นคือการเผาในภาคเกษตรกรรม งานนี้จัดโดย Friends of Thai Agriculture – FTA ร่วมกับ องค์กรนานาชาติหลายแห่ง ได้แก่ สมาคมเกษตรกรรมเยอรมัน ( DLG), GETHAC, GIZ Thailand, Winrock International และศูนย์เครื่องจักรกลเกษตรอย่างยั่งยืนแห่ง UNESCAP โดยงานสัมมนาได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาที่สร้างสรรค์เพื่อลดมลพิษ PM2.5 ที่เกิดจากการเผาข้าว ข้าวโพด และอ้อยในประเทศไทย สถานการณ์การเผาในภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย  การเผาในภาคเกษตรกรรมเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษ PM2.5 ซึ่งส่...