“ตากฟ้า 7” ฝ้ายพันธุ์ใหม่สายแข็ง!
ต้านโรค & ทนทานแมลงศัตรูฝ้าย
กรมวิชาการเกษตร เปิดตัว “ตากฟ้า 7”
ฝ้ายใบขนพันธุ์ใหม่ให้ผลผลิตฝ้ายปุยสูง
สมอใหญ่ เก็บเกี่ยวง่าย
ที่สำคัญทนทานเพลี้ยจักจั่น
ต้านทานโรคใบหงิก
ส่งผลช่วยลดการใช้สารเคมีกำจัดโรคและแมลง
ตอโจทย์ผลิตฝ้ายปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้ให้ชนบทแบบครบวงจรและอย่างยั่งยืน
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ฝ้ายเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของเกษตรกรในชนบท อย่างไรก็ตาม
วิถีการผลิตฝ้ายในปัจจุบันของเกษตรกรมีการเปลี่ยนแปลงจากการปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ติดต่อกัน ซึ่งทำให้การปฏิบัติ ดูแลรักษาไม่ทั่วถึงปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ขนาดเล็กไม่เกิน
1 ไร่ต่อครอบครัว รวมทั้งนิยมใช้พันธุ์ฝ้ายที่ทนทานต่อแมลงศัตรู
เพื่อลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง ทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษา และปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ผลิตและผู้บริโภค
ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบรับต่อความต้องการของเกษตรกร ศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์ กรมวิชาการเกษตร จึงทำการคัดเลือกสายพันธุ์ฝ้ายที่มีลักษณะทนทานต่อโรค
และแมลงศัตรูฝ้ายสำคัญที่รวบรวมไว้ในแหล่งเชื้อพันธุกรรมมาทำการประเมินผลผลิตในสภาพการปลูกแบบปลอดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูฝ้าย
เพื่อคัดเลือกให้ได้สายพันธุ์ฝ้ายใบขนพันธุ์ใหม่ ที่ให้ผลผลิตสูง
ทนทานต่อเพลี้ยจักจั่น และต้านทานต่อโรคใบหงิก
สำหรับเป็นทางเลือกให้เกษตรกรสามารถปลูกในพื้นที่ขนาดเล็ก
ปราศจากการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรค และแมลง
เพื่อรองรับแนวความคิดในการผลิตฝ้ายที่ปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ผลิต ผู้บริโภค
ตลอดจนอนุรักษ์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 7
ผ่านการรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562 มีลักษณะเด่น คือ ให้ผลผลิตฝ้ายปุยทั้งเมล็ดสูง
196 กิโลกรัมต่อไร่ สมอมีขนาดใหญ่โดยมีน้ำหนักปุยสูงถึง 4.91 กรัมต่อสมอ
ซึ่งการที่สมอมีขนาดใหญ่ทำให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวได้สะดวก
และง่ายกว่าการเก็บเกี่ยวฝ้ายที่มีสมอขนาดเล็ก เปอร์เซ็นต์หีบ ความยาว
และความละเอียดอ่อนของเส้นใยดี โดยมีเปอร์เซ็นต์หีบ 36.4 % มีความยาวเส้นใย 1.02
นิ้ว ที่สำคัญเป็นพันธุ์ฝ้ายที่มีความทนทานต่อเพลี้ยจักจั่นฝ้ายและต้านทานต่อโรคใบหงิก สามารถปลูกได้ในแหล่งผลิตฝ้ายของประเทศไทยทั่วไป
จากการประเมินการยอมรับพันธุ์ฝ้ายตากฟ้า 7
โดยจัดทำแบบสอบถามเกษตรกรในเขตจังหวัดนครสวรรค์ เพชรบูรณ์ อุบลราชธานี เชียงใหม่
มุกดาหาร และเลย สรุปได้ว่าเกษตรกรมากกว่า
95% มีความชอบมากในด้านผลผลิตสูง สมอมีขนาดใหญ่ ทรงต้นโปร่ง ต้านทานต่อโรคใบหงิก
เมล็ดมีเปอร์เซ็นต์งอกที่ดี เจริญเติบโตดี ดูแลรักษาง่าย ทนทานต่อโรคแมลงศัตรู และเก็บเกี่ยวง่าย
“ฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า 7
ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรสามารถนำไปปลูกได้ในพื้นที่ขนาดเล็กปราศจากการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลง
โดยปัจจุบันศูนย์วิจัยพืชไร่นครสวรรค์มีความพร้อมของเมล็ดพันธุ์คัดของฝ้ายพันธุ์ตากฟ้า
7 จำนวน 50 กิโลกรัม
ซึ่งเมล็ดพันธุ์คัดดังกล่าวสามารถที่จะใช้ปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์หลักได้ถึง 25
ไร่ ซึ่งจะผลิตเมล็ดพันธุ์หลักได้ประมาณ 2,500
กิโลกรัม รวมทั้งยังรองรับแนวคิดการผลิตฝ้ายที่ปลอดภัยต่อสุขภาพผู้ผลิต ผู้บริโภค ตลอดจนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สนับสนุนและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สิ่งทอรูปแบบใหม่ๆ
เป็นการสร้างงานให้แก่ชนบทแบบพึ่งพาตนเอง เริ่มจากการรวมกลุ่มของเกษตรกรผู้ปลูกไปจนถึงกลุ่มผู้แปรรูปผลผลิต
ตั้งแต่การปั่นด้าย การทอผ้า การออกแบบ และการตัดเย็บ เป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนแบบครบวงจรและยั่งยืน”
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น