การปฏิรูปที่ดินนั้นหากเราได้ศึกษาประวัติความเป็นมา
เราจะพบว่า...การปฏิรูปที่ดิน เป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง
ในการปกครองประเทศซึ่งได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการจัดสรรระบบการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินแบบประนีประนอม
และมิได้มีการดำเนินการอย่างจริงจังมากนัก ดังนั้น วิธีการปฏิรูปที่ดิน จึงเป็นแต่เพียงมาตรการที่ช่วยเหลือผ่อนปรนความกดดัน
ทางการเมือง และช่วยให้ผู้ปกครองประเทศ ได้รับการสนับสนุนแนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทย
โดยปรากฏหลักฐานตั้งแต่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี
2476 นายปรีดี พนมยงค์
ได้เสนอแนวคิด ในการจัดระบบการถือครองที่ดิน โดยให้รัฐบาลซื้อที่ดินจากประชาชน
ที่ต้องการขาย แล้วนำมาพัฒนาทำคูทำคันนา จัดทำเป็นที่ดินประกอบ การเกษตรของรัฐ
เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนา และมีการใช้วิชาการสมัยใหม่ จากนั้นให้ราษฎร
มาเป็นลูกจ้าง ประกอบการเกษตร ของรัฐบาล แต่แนวคิดนี้ถูกคัดค้านเป็นอย่างมาก ต่อมา
มีการเรียกร้องให้รัฐบาล แก้ไขปัญหาที่ทำกินจากบุคคลหลายกลุ่ม มีทั้งข้าราชการ
นักการเมือง ชาวไร่ ชาวนา
ดร.ไชยยงค์ ชูชาติ
ซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ได้ศึกษาปัญหาการถือครองที่ดิน และจัดรูปที่ดิน
เพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายของรัฐบาล ซึ่งการเคลื่อนไหวในครั้งนั้น
ทำให้รัฐบาลสนใจปัญหาที่ดินทำกิน ของเกษตรกรผู้ยากจน และมีการจัดตั้ง
กองทุนเพื่อจัดหาที่ดินให้เกษตรกร เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513
เพื่อใช้ในการจัดหาที่ดินแปลงใหญ่ที่เหมาะสม มาจัดสรรให้เกษตรกร ผ่อนส่ง
ภายในระยะเวลา 15
- 20 ปี โดยคิดดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 10 ต่อปี และยังได้แต่งตั้งคณะทำงาน
เพื่อพิจารณาเรื่องการปฏิรูปที่ดินด้วย ภายหลังปี พ.ศ. 2516
ในช่วงที่แรงผลักดันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ชาวนา
ชาวไร่ นัดชุมนุมกันหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
เนื่องจากความเดือดร้อนไม่มีที่ดินทำกิน รัฐบาลในขณะนั้น โดย ฯพณฯ สัญญา
ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจแก้ไขปัญหา โดยวิธีการปฏิรูปที่ดิน และได้เสนอร่างพระราชบัญญัติ
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
จนประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2518 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2517 มาตรา 81 ความว่า "ให้รัฐพึงส่งเสริมให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์
และสิทธิในที่ดิน เพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึง โดยการปฏิรูปที่ดิน
และวิธีการอื่นๆ”
และความทรงจำที่มิอาจมองข้ามคุณความดี และความมีมิตรไมตรีของคุณสรพงศ์
ชาตรี ดาราอาวุโส ศิลปินแห่งชาติ ซึ่งเป็นบุคคลผู้เป็นที่เคารพรักของทุกคนทั้งในวงการและนอกวงการบันเทิง
คุณสรพงษ์ ชาตรี
บ้านเกิดของท่านอยู่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอมหาราช
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นลูกศิษย์วัดสุวรรณาราม วัดเดียวกับคุณเสรี
ทองรื่น คบหาเป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่วัยเยาว์
สำหรับการถ่ายทำ
ใช้สถานที่แสดงถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้านฐานะยากจน พื้นที่แห้งแล้ง
ในอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เป็นหลัก การบันทึกเทปสารคดี
เป็นไปด้วยความเรียบร้อยบริบูรณ์
โอกาสนี้ ขอให้ดวงวิญญาณ “คุณสรพงษ์ ชาตรี”
สู่สุขคติในสัมปรายภพที่ดี ตลอดไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น